โจทย์ที่ท้าทายในการไปใช้ชีวิตต่างประเทศอย่างนึงของผม คือ ภาษา วันนี้ขอแชร์ 6 วิธีหลักๆ ที่ผมใช้พัฒนาภาษาอังกฤษ
จำได้เลยว่า ตั้งแต่มีความตั้งใจจะมาเมืองนอก ในใจผมก็หวั่นๆ เรื่องภาษาเหมือนกัน เพราะแน่นอนว่าเราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ วันๆ ทำงานหรือใช้ชีวิตก็แทบเรียกว่าไทย 100% มีบางครั้งใช้ทับศัพท์บ้าง มีบางคนยังแซวว่ามันแปลว่าอะไร ออกเสียงอย่างนี้เหรอ เล่นเอาเขินไม่กล้าใช้ เหมือนกับสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยเลย
แต่ไหนๆ ฉันก็จะไป ไม่ว่ายังไง ก็ต้องฝึก ดีกว่าไปอดตายเพราะสื่อสารกับใครไม่ได้ที่นั่น ต่อให้หลายคนอาจบอกไม่ยาก ก็แค่เข้าร้านไทย อยู่กับเพื่อนคนไทย ก็แทบไม่ต้องใช้ภาษาแล้ว แต่....ช้าก่อน อุตส่าห์หอบหิ้วตัวเองข้ามน้ำข้ามทะเลมา จะไม่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างแดนรวมถึงการเรียนรู้เรื่องนี้ติดตัวไว้สักหน่อยก็ดูจะน่าเสียดาย หรืออย่างน้อยอาจได้ประโยชน์ เช่น งานที่ดีขึ้นก็ได้
ว่าแล้วก็ขอเล่าถึง 6 วิธีที่ทดลองใช้กับตัวเองครับ
1 ดูหนังต่างประเทศ
ตัวผมเองเวลาดู เริ่มแรกจะเปิด เสียงไทย ซับอังกฤษ แล้วดูว่าไอ้คำไทยแบบนี้ ฝรั่งใช้คำพูดยังไง โดยอ่านจากซับที่ขึ้น ซึ่งเวลาฝึกแรกๆ อาจจะปวดหัว เพราะไหนจะดูหนัง แล้วยังต้องอ่านซับในเวลาเดียวกัน แต่พอคุ้นๆ ก็จะรู้สึกง่ายขึ้น (ยังไงก็ตาม ต้องเลือกหนังที่มีคุณภาพการพากย์ พวกซับนรกหรือพากย์มั่ว อันนี้นอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนด้วย เหอๆ)
จากนั้นก็เลย advance ไปเป็น เสียงอังกฤษ ซับอังกฤษ อันนี้ก็จะลดความสับสนเพราะไอ้สิ่งที่เราฟังกับอ่านเป็นอันเดียวกัน (แม้ว่าต้องลดสายตาไปอ่านซับจนแทบไม่เห็นตัวละครอยู่บ่อยๆ 55+) และพยายามจับคำพูดว่า แต่ละคำ ฝรั่งออกเสียงยังไง บางทีก็ฝึกออกเสียงตาม หรือ pause หนัง แล้วเช็ค dictionary ไปด้วย เวลาเจอคำที่ไม่รู้ความหมาย
พอหลังๆ แต่ก็ประมาณ 1-2 ปีถัดมา (-_-") เริ่มสังเกตตัวเองว่า สามารถดูหนังโดย ไม่เปิดซับ ได้ แม้จะไม่เข้าใจซะทุกประโยค แต่พอจับภาพรวมและดูได้แบบไม่อรรถรสนัก (ประมาณ 70-80% ของทั้งหมด)
เลยยกให้เป็นวิธีที่ 1 เลยครับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาหนังด้วยน่ะ เช่น ถ้าหนังดราม่าหรือแนว biography ก็จะได้ศัพท์เยอะหน่อย เพราะหนังเน้นบทพูด หรือการตูนและหนังเด็กก็โอเค เพราะออกเสียงชัดและฟังง่ายอยู่ แต่ไอ้พวกการ์ตูน ลูนี่ ตูน ก็ไม่ไหว เคยดูแล้ว ฟังไม่รู้เรื่อง เสียงภาษาสัตว์ทั้งหลาย 55 ส่วนถ้าเป็นหนังบู๊ ก็มักจะได้คำซ้ำๆ มา เช่น damn it, jesus, gosh, mother ...ker อะไรประมาณนั้น ที่เหลือเป็นเสียงระเบิดกับยิงกัน (-_-") แต่ก็ยังชอบดู ^^
2 ฟังเพลง
ข้อดีอีกอย่างของการฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงๆ ใหม่ (แม้หลายครั้งจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะ slang เยอะ) คือ เราจะได้รู้ว่าคำที่เค้าใช้สื่อสารในตอนนั้นเป็นไปยังไงแล้ว หรือเช่นภาษาวัยรุ่น ศัพท์คูลๆ แบบ YOLO, gimme, needa ไรอย่างงี้
3 ข้อสอบภาษา
เพื่อนผมให้ไฟล์ข้อสอบมาหลายอัน นอกจากจะเอามาทำ test ทั้ง writing/grammar แล้ว ไฟล์เสียงที่ได้มาจาก part listening ก็เอามาใช้เปิดฟังเวลาอยู่บ้านทำอะไรเรื่อยเปื่อย เช่น กินข้าว อาบน้ำ ล้างจาน อ่านการ์ตูน
หรือแม้ตอนนอน บางทีก็เปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ให้เสียงมันเข้าหูไปเรื่อยๆ อันนี้ไม่รู้เป็นประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน เพราะบางตำราบอก ทำให้สมองไม่ได้พัก แต่บางอาจารย์บอกเราจะเรียนรู้ผ่านจิตไร้สำนึกขณะหลับ ส่วนประสบการณ์ผมรู้สึกว่า ตอนที่ฟัง TOEIC Conversation tape แล้ว ทำข้อสอบชุดอื่นๆ สามารถจับใจความได้มากขึ้น ก็เลยเลือกใช้วิธีนี้อยู่
ขอแถมอีกอันที่เห็นเพื่อนต่างชาติ (รวมถึงคนไทย) หลายคนชอบทำ คือ Audio book หลายคนโลดไฟล์เสียงอ่านจากหนังสือที่ชอบ เช่น Harry Potter, หรือประวัติศาสตร์ เปิดฟังตอนทำงานทาสที่นี่ เช่น ปลูกต้นไม้, เก็บผลไม้ ก็ดูเข้าท่าดี
4 หาเพื่อนต่างชาติ
ยกตัวอย่างเช่น ประโยค What are your hobbies? อันนี้ไม่ผิดอะไร แต่จากที่อยู่ต่างประเทศสองปีกว่า มีเพื่อนต่างชาติถามผมครั้งเดียว แล้วเพื่อนมันกันเองยังแซวว่า นี่มันประโยคสมัยแแกเรียนนี่หว่า 55+ พูดง่ายๆ คือ ฝรั่งด้วยกันยังไม่ใช้อ่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้บอกว่าผิดที่จะใช้นะครับ เพียงแค่บางที out แล้ว ^^
5 เที่ยวต่างประเทศ
ไหนระหว่างทางอาจจะได้เจอเพื่อนใหม่ จากนานาชาติ ได้ฝึกฟังหลายสำเนียงแล้ว
ยิ่งถ้ามีเพื่อนอยู่ในประเทศนั้นๆ ด้วย ยิ่งสนุกใหญ่ ได้เที่ยวแบบ Local แล้วยังฝึก Speaking Listening ไปในตัว ยกตัวอย่างผมมีเพื่อนที่ Vietnam เพื่อนพาซ้อนท้ายโมโต วิ่งรอบ Ho Chi Minh สร้างความน่าตื่นเต้นในการพัฒนาภาษาของเราเสียจริงๆ ^^
6 ใช้ Technology ให้คุ้ม
มือถือเครื่องเดียวพกไปเที่ยวต่างประเทศก็เอาตัวรอดได้แล้ว นึกคำพูดไม่ออกพิมพ์ไทย กดแปลอังกฤษออกลำโพงให้ต่างชาติฟังเลย หรือถ่ายรูปป้าย sign ต่างๆ ไว้ มากมายร้อยแปดวิธี
No comments:
Post a Comment