Pages

Jan 25, 2016

6 วิธีพัฒนาภาษาอังกฤษ ก่อนไป WAH


โจทย์ที่ท้าทายในการไปใช้ชีวิตต่างประเทศอย่างนึงของผม คือ ภาษา วันนี้ขอแชร์ 6 วิธีหลักๆ ที่ผมใช้พัฒนาภาษาอังกฤษ



จำได้เลยว่า ตั้งแต่มีความตั้งใจจะมาเมืองนอก ในใจผมก็หวั่นๆ เรื่องภาษาเหมือนกัน เพราะแน่นอนว่าเราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ วันๆ ทำงานหรือใช้ชีวิตก็แทบเรียกว่าไทย 100% มีบางครั้งใช้ทับศัพท์บ้าง มีบางคนยังแซวว่ามันแปลว่าอะไร ออกเสียงอย่างนี้เหรอ เล่นเอาเขินไม่กล้าใช้ เหมือนกับสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยเลย

แต่ไหนๆ ฉันก็จะไป ไม่ว่ายังไง ก็ต้องฝึก ดีกว่าไปอดตายเพราะสื่อสารกับใครไม่ได้ที่นั่น ต่อให้หลายคนอาจบอกไม่ยาก ก็แค่เข้าร้านไทย อยู่กับเพื่อนคนไทย ก็แทบไม่ต้องใช้ภาษาแล้ว แต่....ช้าก่อน อุตส่าห์หอบหิ้วตัวเองข้ามน้ำข้ามทะเลมา จะไม่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างแดนรวมถึงการเรียนรู้เรื่องนี้ติดตัวไว้สักหน่อยก็ดูจะน่าเสียดาย หรืออย่างน้อยอาจได้ประโยชน์ เช่น งานที่ดีขึ้นก็ได้

ว่าแล้วก็ขอเล่าถึง 6 วิธีที่ทดลองใช้กับตัวเองครับ


1 ดูหนังต่างประเทศ 


อันนี้ง่ายสุด และหลายๆ อาจารย์ก็แนะนำวิธีนี้ ส่วนตัวผมมองว่าเป็นวิธีที่ไม่เครียดจนเกินไป แถมได้ความบันเทิงในขณะเดียวกัน

ตัวผมเองเวลาดู เริ่มแรกจะเปิด เสียงไทย ซับอังกฤษ แล้วดูว่าไอ้คำไทยแบบนี้ ฝรั่งใช้คำพูดยังไง โดยอ่านจากซับที่ขึ้น ซึ่งเวลาฝึกแรกๆ อาจจะปวดหัว เพราะไหนจะดูหนัง แล้วยังต้องอ่านซับในเวลาเดียวกัน แต่พอคุ้นๆ ก็จะรู้สึกง่ายขึ้น (ยังไงก็ตาม ต้องเลือกหนังที่มีคุณภาพการพากย์ พวกซับนรกหรือพากย์มั่ว อันนี้นอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนด้วย เหอๆ)

จากนั้นก็เลย advance ไปเป็น เสียงอังกฤษ ซับอังกฤษ อันนี้ก็จะลดความสับสนเพราะไอ้สิ่งที่เราฟังกับอ่านเป็นอันเดียวกัน (แม้ว่าต้องลดสายตาไปอ่านซับจนแทบไม่เห็นตัวละครอยู่บ่อยๆ 55+) และพยายามจับคำพูดว่า แต่ละคำ ฝรั่งออกเสียงยังไง บางทีก็ฝึกออกเสียงตาม หรือ pause หนัง แล้วเช็ค dictionary ไปด้วย เวลาเจอคำที่ไม่รู้ความหมาย

พอหลังๆ แต่ก็ประมาณ 1-2 ปีถัดมา (-_-")  เริ่มสังเกตตัวเองว่า สามารถดูหนังโดย ไม่เปิดซับ ได้ แม้จะไม่เข้าใจซะทุกประโยค แต่พอจับภาพรวมและดูได้แบบไม่อรรถรสนัก (ประมาณ 70-80% ของทั้งหมด)

เลยยกให้เป็นวิธีที่ 1 เลยครับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาหนังด้วยน่ะ เช่น ถ้าหนังดราม่าหรือแนว biography ก็จะได้ศัพท์เยอะหน่อย เพราะหนังเน้นบทพูด หรือการตูนและหนังเด็กก็โอเค เพราะออกเสียงชัดและฟังง่ายอยู่ แต่ไอ้พวกการ์ตูน ลูนี่ ตูน ก็ไม่ไหว เคยดูแล้ว ฟังไม่รู้เรื่อง เสียงภาษาสัตว์ทั้งหลาย 55 ส่วนถ้าเป็นหนังบู๊ ก็มักจะได้คำซ้ำๆ มา เช่น damn it, jesus, gosh, mother ...ker อะไรประมาณนั้น ที่เหลือเป็นเสียงระเบิดกับยิงกัน (-_-") แต่ก็ยังชอบดู ^^

2 ฟังเพลง


อันนี้ก็ดี สบายๆ แค่หาโหลดเพลงฝรั่งมา เน้นแนวที่ชอบก่อน เพราะรู้สึกไม่ฝืน แล้วยิ่งเพลงไหนโดนๆ ก็หาโหลด lyric มา จะได้ร้องตามได้ เรียกว่าสองเด้ง คือ ได้โชว์น้ำเสียงกับฝึกภาษาในเวลาเดียวกัน อิๆ

ข้อดีอีกอย่างของการฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงๆ ใหม่ (แม้หลายครั้งจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะ slang เยอะ) คือ เราจะได้รู้ว่าคำที่เค้าใช้สื่อสารในตอนนั้นเป็นไปยังไงแล้ว หรือเช่นภาษาวัยรุ่น ศัพท์คูลๆ แบบ YOLO, gimme, needa ไรอย่างงี้


3 ข้อสอบภาษา



มาถึงข้อนี้ เป็นอะไรที่หลายครั้งไม่ค่อยอยากทำ อยากเลี่ยงไปทำ 2 ข้อบนแทน 55+ แต่ก็ทิ้งข้อนี้ไม่ได้ เพราะต้องสอบ IELTS ให้ผ่าน 4.5 ฉะนั้นตรงประเด็นเลยคือ ฝึกกับข้อสอบนี่ล่ะ

เพื่อนผมให้ไฟล์ข้อสอบมาหลายอัน นอกจากจะเอามาทำ test ทั้ง writing/grammar แล้ว ไฟล์เสียงที่ได้มาจาก part listening ก็เอามาใช้เปิดฟังเวลาอยู่บ้านทำอะไรเรื่อยเปื่อย เช่น กินข้าว อาบน้ำ ล้างจาน อ่านการ์ตูน

หรือแม้ตอนนอน บางทีก็เปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ให้เสียงมันเข้าหูไปเรื่อยๆ อันนี้ไม่รู้เป็นประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน เพราะบางตำราบอก ทำให้สมองไม่ได้พัก แต่บางอาจารย์บอกเราจะเรียนรู้ผ่านจิตไร้สำนึกขณะหลับ ส่วนประสบการณ์ผมรู้สึกว่า ตอนที่ฟัง TOEIC Conversation tape แล้ว ทำข้อสอบชุดอื่นๆ สามารถจับใจความได้มากขึ้น ก็เลยเลือกใช้วิธีนี้อยู่

ขอแถมอีกอันที่เห็นเพื่อนต่างชาติ (รวมถึงคนไทย) หลายคนชอบทำ คือ Audio book หลายคนโลดไฟล์เสียงอ่านจากหนังสือที่ชอบ เช่น Harry Potter, หรือประวัติศาสตร์ เปิดฟังตอนทำงานทาสที่นี่ เช่น ปลูกต้นไม้, เก็บผลไม้ ก็ดูเข้าท่าดี

4 หาเพื่อนต่างชาติ



นี่ก็จำเป็นเช่นกัน ถ้าเพื่อนๆ สามารถทำได้ เพราะไอ้ที่เราเรียนมาทั้งหลายแหล่ มันต้องมีที่ใช้ ในสถานการณ์จริงๆ ถึงจะดี หลายครั้งไอ้ที่เราคิดว่าน่าจะใช้หรือพูดอย่างนี้ อย่างที่เรียนกันมาแต่ประถม พอพูดกับฝรั่งจริงๆ เค้าไม่เข้าจ้ายย (ออกสำเนียงฝรั่งด้วย ^^) หรือบางทีมันดูไม่เข้ากับสถานการณ์ก็มี อันนี้ต้องลองใช้ แล้วจะเห็น

ยกตัวอย่างเช่น ประโยค What are your hobbies? อันนี้ไม่ผิดอะไร แต่จากที่อยู่ต่างประเทศสองปีกว่า มีเพื่อนต่างชาติถามผมครั้งเดียว แล้วเพื่อนมันกันเองยังแซวว่า นี่มันประโยคสมัยแแกเรียนนี่หว่า 55+ พูดง่ายๆ คือ ฝรั่งด้วยกันยังไม่ใช้อ่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้บอกว่าผิดที่จะใช้นะครับ เพียงแค่บางที out แล้ว ^^

5 เที่ยวต่างประเทศ


อันนี้ชอบมากกกก เพราะได้เที่ยวนี่ล่ะ เสียแต่ว่าเปลืองตังค์ ยังไงก็อาจเลือกประเทศใกล้ๆ ได้ เอาประเทศที่พอจะได้ใช้ภาษาอังกฤษคุ้ม อย่าง Singapore, Malaysia, Philippines หรือ Vietnam, Cambodia, etc. นี่ก็พอไหว

ไหนระหว่างทางอาจจะได้เจอเพื่อนใหม่ จากนานาชาติ ได้ฝึกฟังหลายสำเนียงแล้ว

ยิ่งถ้ามีเพื่อนอยู่ในประเทศนั้นๆ ด้วย ยิ่งสนุกใหญ่ ได้เที่ยวแบบ Local แล้วยังฝึก Speaking Listening ไปในตัว ยกตัวอย่างผมมีเพื่อนที่ Vietnam เพื่อนพาซ้อนท้ายโมโต วิ่งรอบ Ho Chi Minh สร้างความน่าตื่นเต้นในการพัฒนาภาษาของเราเสียจริงๆ ^^

6 ใช้ Technology ให้คุ้ม 


เกิดและโตยุคนี้ ต้องบอกว่าโชคดีจริงๆ อยากรู้อะไรแค่ปลายนิ้ว ไม่ว่าจะโหลดแอพ, ถามอากู๋ google, translate program มีมาให้ครบ ไหนจะไฟล์ต่างๆ ทั้งของลิขสิทธิ์และโจรสลัด

มือถือเครื่องเดียวพกไปเที่ยวต่างประเทศก็เอาตัวรอดได้แล้ว นึกคำพูดไม่ออกพิมพ์ไทย กดแปลอังกฤษออกลำโพงให้ต่างชาติฟังเลย หรือถ่ายรูปป้าย sign ต่างๆ ไว้ มากมายร้อยแปดวิธี


ทั้ง 6 วิธีหลักๆ ที่ผมพยายาม (ต้องบอกว่าพยายาม เพราะบางวิธี หลายครั้งก็เหนื่อย และรู้สึกฝืนๆที่จะทำ อาจเพราะความกลัวและขี้เกียจของเราเอง lol) ในที่สุดก็ช่วยให้ผ่าน IELTS มาได้ และเหยียบย่างสู่แดนจิงโจ้และกีวีในที่สุด 


มีอีกหลายวิธีที่ผมไม่ได้ใช้ และไม่ได้พูดถึง เพื่อนๆ ใช้วิธีไหนกันบ้างครับ?





No comments:

Post a Comment